ก.หูกวาง เปิด 4 ประเด็น ค้านขยายสัมปทานสายสีเขียว หวั่นเพิ่มภาระผดส.

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เผยว่า วันนี้ (9 ก.พ.65) ตนเองพร้อมผู้บริหารกรมการขนส่งทางราง (ขร.) และผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ชี้แจงกรณีที่กระทรวงคมนาคมเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่อง ขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2565 โดยยืนยันการให้ความเห็นในฐานะกระทรวงคมนาคมทุกโหมดและต้องดูแลอัตราค่าโดยสารที่เป็นธรรม และเห็นว่าการต่อสัญญาสัมปทานจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและราชการ โดยมี 4 ประเด็นคือ 1. ประเด็นอัตราค่าโดยสารที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างยั่งยืนจากปัจจุบันไปถึงปี 2602 ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขของการเข้าระบบตั๋วร่วมที่ครอบคลุมทุกโครงข่าย จะทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และจะมีปริมาณผู้โดยสารมากขึ้นจากอัตราค่าโดยสารที่เป็นธรรม

 

2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของรฟม. ซึ่ง รฟม. ได้อนุญาตให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ที่ทำร่วมกันไว้ กำหนดไว้ชัดเจนว่าอนุญาตให้กรุงเทพมหานครเข้าพื้นที่และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายรวมถึงกรณีที่ กทม. จะไปว่าจ้างเอกชนรายใดมาดำเนินการ ,3. กรมการขนส่งทางราง ชี้แจงเงื่อนไขการจัดเก็บค่าแรกเข้าในการเดินทางเชื่อมต่อว่า ผลการเจรจาและร่างสัญญาที่กทม.เสนอ ครม.เห็นชอบนั้น ไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและทางราชการ เนื่องจากผลการเจรจาต่อรองของกทม.กับผู้รับสัมปทาน และข้อ 4.กำหนดจะยกเว้นค่าแรกเข้าเฉพาะระบบเปลี่ยนถ่ายในโครงการ ภายใต้ระบบตั๋วร่วมเท่านั้น โดยที่ระบบตั๋วร่วมจะต้องไม่มีการแก้ไขระบบที่ติดตั้งไว้เดิม ซึ่งกรณีนี้ ไม่เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจำหน่ายทรัพย์สินและโอนภาระทางการเงิน รถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้ง 2 ช่วง ของ รฟม. กับ กทม. เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2561 ที่กำหนดให้ กทม. ยกเว้นค่าแรกเข้าระบบหรือค่าธรรมเนียม หากผู้โดยสารเปลี่ยนถ่ายจากรถไฟฟ้าสายอื่นของ รฟม.

นายชยธรรม์ กล่าวว่า ส่วนผลการศึกษาของกทม. ถึงแนวทางการดำเนินการและผลสรุปการเจรจาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีผลสรุปว่า กรณีรัฐดำเนินการเอง รวมปี 2562–2602 จะมีรายได้รวม 1,577,141 ล้านบาท มีค่าใช้จ่าย 1,109,312 ล้านบาท ทำให้มีกระแสเงินสดสุทธิ 467,822 ล้านบาท , กรณีเอกชนดำเนินการ พบว่า ภาครัฐจะมีกระแสเงินสดสุทธิเพียง 32,690 ล้านบาท ดังนั้น จึงสรุปได้ว่ากรณีรัฐเป็นผู้จ้างเดินรถ จะทำให้รัฐมีกระแสเงินสดสุทธิมากกว่า กรณีให้เอกชนดำเนินการสูงถึง 435,132 ล้านบาท

 

ส่วนการคิดอัตราค่าโดยสารไม่เป็นไปตาม MRT Assessment Standardization การกำหนดค่าโดยสารสูงสุดที่ 65 บาท ตามร่างสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีเงื่อนไขจะเริ่มใช้หลังวันที่ 5 ธันวาคม 2572 ดังนั้น ช่วงระหว่างรอต่อสัญญาทำให้ปัจจุบัน การกำหนดค่าโดยสารตลอดสายอยู่ที่ 158 บาท แต่ กทม. มีการยกเว้นค่าแรกเข้า จึงคงเหลืออัตราค่าโดยสารที่ 104 บาท

ปัจจุบันไทยใช้รูปแบบค่าโดยสารรถไฟฟ้าตามระยะทาง (Distance – Base Fare) ตามมาตรฐาน MRT Assessment Standardization ซึ่งค่าโดยสารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าแรกเข้า และค่าโดยสารตามระยะทาง โดยใช้ดัชนี CPI :Non Food & Beverages ประกอบการคำนวณอัตราค่าแรกเข้า ทั้งนี้โครงสร้างอัตราค่าโดยสารในปี 2563 จึงควรมีอัตราค่าแรกเข้าที่ 12 บาท และค่าโดยสารตามระยะทาง 2 บาท (โครงสร้างอัตราค่าโดยสาร คือ 12+2X)ในขณะที่ผลการเจรจาต่อรองผู้รับสัมปทาน ข้อ 4 กำหนดอัตราค่าโดยสารแรกเข้า 15 บาท ค่าโดยสารต่อสถานี 3 บาท (โครงสร้างอัตราค่าโดยสาร คือ 15+3X) โดยใช้ Headline CPI หรือ ดัชนีราคาที่รวมสินค้าทุกหมวด ทำให้อัตราค่าโดยสารสูงกว่าการใช้ ดัชนี CPI : Non Food & Beverages เมื่อเปรียบเทียบรายได้ค่าโดยสารจากสูตร MRT Assessment Standardization และข้อเสนอของ BTS พบว่า ข้อเสนอของ BTS จะมีรายได้ค่าโดยสารมากกว่าแบบ MRT Assessment Standardization ประมาณ 4.6 แสนล้านบาท ดังนั้นโครงสร้างอัตราค่าโดยสาร คือ 12+2X ของ MRT Assessment Standardization จะทำให้ผู้โดยสารจะได้รับประโยชน์จากค่าโดยสารที่ถูกลง และรัฐบาลจะสามารถช่วยลดค่าครองชีพ ให้ผู้โดยสารได้ปีละ 15,000 ล้านบาท

“รฟม. ยืนยันถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างและที่ดินตลอดแนวโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 2 ช่วง เนื่องจากปัจจุบัน รฟม. ยังไม่สามารถโอนหนี้สินจากการก่อสร้าง ช่วงหมอชิต-คูคต ให้แก่ กทม. และได้ทำหนังสือถึง กทม. เป็นระยะแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ”นายชยธรรม์ กล่าวและว่า กระทรวงคมนาคม มอบหมายให้นัดกทม.หารือภายในเดือนก.พ.นี้ คาดว่าเคลียร์เรื่องหนี้ค่าก่อสร้างงานโยธาระหว่างกันและการโอนกรรมสิทธิ์ครบถ้วนชัดเจน และหวังว่า กทม.จะพิจารณาทบทวนการดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนและภาครัฐ”

อ้างอิง
https://siamrath.co.th/economy