ในช่วงบ่ายของวันที่ 1 พฤษภาคม 2596 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมในการเจรจากับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกำแพงภาษีและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจในช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
นายพิชัยได้กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้เตรียมความพร้อมในด้านการเจรจาเรื่องกำแพงภาษีไว้อย่างครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฝ่ายสหรัฐฯ มีความต้องการที่จะเห็นแผนการที่เป็นรูปธรรมและสามารถจับต้องได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงต้องการทราบว่าทั้งสองประเทศจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างไรบ้างจากข้อตกลงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทยได้มีการตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้จากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างละเอียดรอบคอบ
“สิ่งที่เราเป็นกังวลมากกว่าคือประเด็นอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีโดยตรง เช่น กฎระเบียบและกติกาต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ” นายพิชัยกล่าว พร้อมเสริมว่า สหรัฐฯ น่าจะให้ความสนใจกับการพิจารณาว่าประเทศไทยมีศักยภาพและทรัพยากรอะไรบ้างที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ และนี่คือส่วนที่รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเตรียมโจทย์และคำตอบให้พร้อมมากที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับท่าทีของประเทศไทยต่อสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ว่าจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาหรือไม่ นายพิชัยได้ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยอย่างชัดเจนว่า “ทุกฝ่ายทราบดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยต้องการวางตัวเป็นกลาง เราต้องการประสานผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ในการเจรจา เราจะไม่ได้มองว่าเราต้องการผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เราจะพิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่เราสามารถนำไปแลกเปลี่ยนและเกิดประโยชน์ร่วมกันได้”
ในประเด็นเกี่ยวกับการรวมกลุ่มของประเทศในอาเซียนเพื่อเจรจากับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ นายพิชัยได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลายประเด็นในการเจรจา ประเทศในอาเซียนจำเป็นต้องรวมกลุ่มและสร้างพลังต่อรองร่วมกัน เนื่องจากมูลค่าการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันมีปริมาณที่สูงมาก หากประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศมีเงื่อนไขในการค้าที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ อาจทำให้เกิดปัญหาภายในกลุ่มอาเซียนเอง ดังนั้น ในหลักการสำคัญ เราจำเป็นต้องเดินหน้าไปด้วยกัน”
เมื่อถูกถามถึงกรณีการดำเนินคดีตามมาตรา 112 กับนักวิชาการชาวอเมริกันที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ว่าจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาระหว่างสองประเทศหรือไม่ นายพิชัยได้แสดงความเชื่อมั่นว่า “ในเรื่องนี้ประเทศไทยต้องสามารถแก้ไขปัญหาได้ และผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสม”
น่าสังเกตว่า การให้สัมภาษณ์ของนายพิชัยในครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง ดร.พอล แชมเบอร์ส ในข้อหาตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รวมถึงข้อหาการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือสร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
สำนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกจะดำเนินการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก พร้อมทั้งส่งสำนวนพร้อมความเห็นและคำสั่งไม่ฟ้องไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 6 เพื่อรับทราบต่อไป
ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาสมดุลทางการเมืองและเศรษฐกิจกับประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีมูลค่าการค้ากับไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศมองว่า จุดยืนของไทยในการวางตัวเป็นกลางในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผลสำหรับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจระดับกลางอย่างประเทศไทย ซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศเป็นหลัก การรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของไทยในการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ที่เรื่องภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบทางการค้า มาตรฐานสินค้า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิแรงงาน และการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยต้องให้ความสำคัญและเตรียมรับมืออย่างรอบคอบ
การรวมกลุ่มของประเทศในอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจาการค้ากับมหาอำนาจ จึงเป็นแนวทางที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่ซับซ้อนมากขึ้นทุกขณะ